มาแล้วจ้า ตามสัญญา สิบวันผ่านไปคุณแม่เพิ่งซักผ้าเสร็จหมาด ๆ พร้อมเคลียร์งานแปลล็อตแรกได้ค่าอาหารทุกมื้อพร้อมค่าของฝากของช้อปจากญี่ปุ่นคืนมาหมดแล้วนะคะคุณพ่อ ได้เวลาแบ่งปันบันทึกความทรงจำจากการตามหานินจา โดราเอมอน และโคนัน สามสาเหตุหลักของการตะลอนญี่ปุ่นในครั้งนี้ สิ่งที่ได้มานอกเหนือจากนี้ถือเป็นผลพลอยได้จากแผนการอันแยบยลของคุณแม่ล้วน ๆ (คนเขียนภูมิใจนะเนี่ย คนข้าง ๆ แอบทำตาถลนแบบยิ้ม ๆ)
เรานั่งการบินไทยไปลงที่ New Chitose Airport Hokkaido และตามที่ตกลงกันไว้คือ ขาไปพี่รักนั่งกับคุณพ่อ น้องโรมนั่งกับคุณแม่ น้องโรมง่วงจัดตั้งแต่ยังไม่ถึงสนามบินสุวรรณภูมิเพราะเลยเวลานอนไปแล้ว พอขึ้นเครื่องได้ไม่ถึงสิบนาทีน้องโรมก็ปิดสวิตช์ทันที (คุณพ่อเหลือบมามองด้วยความอิจฉา อยากนอนบ้าง แต่ต้องคอยเอนเตอร์เทนพี่รักต่อไป) ก่อนหลับ น้องโรมไม่ลืมให้คุณพ่อแช้ะภาพไว้เป็นหลักฐาน ส่วนพี่รักหยิบข้อมูลความปลอดภัยบนเครื่องบินมาอ่านก่อนเลย
พอเครื่องขึ้นได้ไม่นาน ก็มีกล่องขนมมาแจกให้เด็กคนละกล่อง ข้างในมีคิทแคท นม น้ำผลไม้ คอร์นเฟลก มันฝรั่งเทสโต และอื่น ๆ คุณแม่จำได้ไม่หมด รู้แต่ว่าเป็นภาระให้ต้องทานก่อนบินกลับเพราะต้องใช้กล่องนี้ใส่ของกระจุกกระจิกของคุณแม่ และของเล่นชิ้นเล็กชิ้นน้อยของคุณลูก เพราะร้านอาหารที่ญี่ปุ่นที่เราไปทานส่วนใหญ่มักมี Kids’ menu แล้วมีของเล่นมาเป็นตะกร้าให้เลือก เรียกว่าลูกได้มี Happy Meal กันเกือบทุกมื้อ
คุณแม่ยังสำรวจไม่เสร็จดีว่ามีอะไรในกล่องบ้าง เค้าก็เสิร์ฟอาหารเด็กแล้ว ต้องเก็บของที่พอเก็บได้ไว้ให้น้องโรม เพราะน้องโรมตื่นมาอีกทีเครื่องก็ใกล้จะลงแล้ว ส่วนพี่รัก จัดการเรียบในเวลาไม่นาน
พอเครื่องลง รับกระเป๋าเสร็จ คุณพ่อคุณแม่มีลังเลนิดนึงว่าจะฝากกระเป๋าที่ยังไม่ต้องใช้ไว้ที่สนามบินดีมั้ย หวั่นใจว่ารถจะมีที่ไม่พอ แต่คุณพ่อตัดสินใจว่า เอาไปด้วยกันหมดนี่แหละ จาก Arrival Hall ไป Toyota Rent A Car นี่สิ สงสารพนักงานเค้าเหมือนกันนะ ต้องยกกระเป๋าเราขึ้นลงรสบัส คือเฉพาะสัมภาระเราก็เต็มพื้นที่ไว้กระเป๋าบนรถเค้าแล้วน่ะ พอรับรถเสร็จ ขนกระเป๋าขึ้นรถที่เราเช่า โห พอดีอย่างไม่น่าเชื่อ รถที่เช่า คือ Toyota Fielder เป็นรุ่นต่ำสุดที่ศูนย์รถเช่านี้มีให้
พนักงานอธิบายการใช้ GPS Navigation เสร็จ เราพร้อมออกเดินทางสู่จุดหมายปลายทางแรก คือ Noboribetsu Onsen เราไปถึงก่อนเวลาเล็กน้อยเพราะใช้เวลากับมื้อกลางวันมื้อแรกที่ Kani Goten (96 Takeura) ด้วยความรวดเร็ว ก่อนออกจากร้านอาหาร คุณแม่ไม่ลืมที่จะประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า “ถ้าไปถึงแล้วฝนตกปรอย ๆ พอที่จะลงเดินได้ เราจะลงเดินกันนะคะ เพราะคุณแม่เตรียมเสื้อกันฝนมาแล้ว แถมยังมีร่มติดรถมาอีก 4 คันด้วย” จบประกาศแบบไม่ต้องการความคิดเห็น เอิ่ม ร้ายเนอะ
Noboribetsu Onsen เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเรื่องแหล่งน้ำพุร้อนธรรมชาติ ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะมาแช่ออนเซนที่นี่กัน แต่เราไม่แช่ เราจะมาเดินเที่ยว Natural Trail หรือเส้นทางศึกษาธรรมชาติกัน เหมือนที่เราเคยทำมาแล้วที่ดอยอินทนนท์ ดอยภูคา เกาะมันนอก และที่อื่น ๆ เส้นทางที่นิยมกันคงไม่พ้น เส้นทางไป Jikogudani (Hell Valley) หรือหุบเขานรก แต่เราไม่ไป เพราะคุณพ่อบอกว่าเราจะไปทำไม เหม็นกลิ่นกำมะถัน คุณแม่เห็นด้วย ดูรูปแล้วไม่น่าสนใจเท่าไหร่ อ้าว สรุป เราไปไหนกันมาล่ะนี่ เราไป Oyunuma Brook Natural Footbath กันมา คุณแม่หมายมั่นปั้นเท้า ว่าจะต้องมาแช่เท้าที่ลำธารน้ำร้อนนี้ให้ได้ เดาเอาว่าใบไม้กำลังเปลี่ยนสีแน่เลย บรรยากาศดีชัวร์ ๆ
แต่แล้ว เมื่อไปถึงลานจอดรถ ฝนตกหนักไม่เกรงใจคุณแม่เลย ตกหนักแบบที่มีเสื้อกันฝน มีร่ม ก็ช่วยอะไรไม่ได้นะจะบอกให้ คุณแม่นั่งทำใจแป๊บนึง แล้วประกาศว่า “เรานั่งรอในรถสัก 20 นาทีนะคุณพ่อ ถ้าฝนยังไม่ซา เราขับรถไปที่อื่นต่อเลยค่ะ” คุณพ่อมองหน้าคุณแม่พร้อมส่งสายตาเป็นเชิงถามว่าเอาจริงเหรอ คุณแม่ส่งสายตากลับตอบว่าก็จริงน่ะสิ คุณพ่อยิ้มแห้ง ๆ ผ่านไป 5 นาทีฝนเริ่มซาและกลายเป็นตกปรอย ๆ คุณแม่แจกเสื้อกันฝนและร่ม พร้อมลุย
ลงจากรถ พุ่งไปที่ป้ายมีแผนที่แนะนำ “Time required for main walking trails” ดูแล้วยังหลงทิศอยู่ว่าต้องเดินไปทางไหนเนี่ย ว่าแล้วควักคัมภีร์ออกมากางให้เจ้าหน้าที่ที่เก็บค่าจอดรถ (ค่าจอดรถ 410 เยน) ดูว่าอิชั้นจะไปที่นี่ค่า ไปทางไหนค้า คุณลุงใจดีตอบยาวเป็นภาษาญี่ปุ่นพร้อมทำท่าทางประกอบ ได้ใจความว่า “เดินไปทางโน้นนะ ไม่ใช่ทางนี้ ห้ามเอารถไป ตรงโน้นไม่มีที่จอดรถ โอเค้” (เป็นไง นักแปลอย่างเรา แปลภาษามือได้นะเออ) สรุป คือ เรา 4 คนเดินกันไปตามถนนนี่แหละ มีแต่พวกเราเลย และไม่รู้ว่าต้องเดินไปอีกไกลแค่ไหน ป้ายอะไรก็อ่านไม่ออก เดินไปได้สัก 500 เมตร ฝนหยุดตก เห็นทางลงเข้าป่า คุณแม่บอกน้องโรมลงบันไดไปเลยครับลูก คุณพ่อกับพี่รักตามมาไกล ๆ แบบรอว่าคุณแม่จะเปลี่ยนใจมั้ย แน้ ไม่มีซะล่ะ
ลงบันไดมาไม่กี่นาที เจอทางแยก มีป้ายบอกเป็นภาษาญี่ปุ่น คุณแม่เอกฝรั่งเศสขอยืนงงปุ๊บนึง แล้วไปต่อ (แบบมั่ว ๆ) เดินไปอีกนิดเห็นสะพานแบบที่เคยอ่านเจอ นั่น ใช่แล้ว มาถูกแล้วเรา เดินไปตามทางเรื่อย ๆ เป็นการเดินที่เพลิดเพลินกับใบไม้หลากสี และบรรยากาศแบบสัมผัสธรรมชาติสุด ๆ
เดินต่อไปจนเห็นภาพเดียวกับภาพในคัมภีร์แต่ภาพจริงที่เห็นสีสันสวยกว่าอย่างมาก มีนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น 4 คน เพิ่งแช่เท้าเสร็จ กำลังเดินกลับออกไป เหลือแต่เราพ่อ แม่ ลูก 4 คน น้องโรมไม่รีรอเร่งให้คุณแม่ช่วยถอดรองเท้าด่วน น้องโรมอยากแช่เท้ามาก คุณแม่ถอดรองเท้าตามไปติด ๆ พี่รักก้มดูน้ำแล้วเห็นขุ่น ๆ บอกว่าไม่แช่เพราะน้ำสกปรก คุณแม่อธิบายแล้วว่าเป็นแร่ธาตุกำมะถัน พี่รักยังเมิน คุณพ่อก็ไม่แช่ เพราะอยากถ่ายรูปมากกว่า คุณแม่ปล่อยทุกคนซึมซับความงามตามอัธยาศัย ไม่ว่าอะไร ถึงแม้จะเตรียมผ้าขนหนูสำหรับเช็ดเท้ามาให้พร้อมก็เถอะ
ผ่านไปสักพัก พี่รักกับน้องโรมพูดขึ้นพร้อมกัน
พี่รัก: คุณแม่ครับ ไปได้หรือยังครับ พี่รักหนาว
น้องโรม: คุณแม่ครับ น้องโรมอยากแช่เท้านาน ๆ เลย สบายมาก
เรื่องของเรื่องคืออากาศหนาว แต่คนแช่เท้าในน้ำอุ่น จะเพลิดเพลินสบาย ๆ ไม่รู้สึกหนาวนั่นแหละ คุณแม่เลยขอเวลาพี่รัก 5 นาที เพื่อต่อเวลาให้น้องโรม พี่รักใจดี เดินไปเป็นนายแบบให้คุณพ่อระหว่างรอ
ขากลับออกไป คุณพ่อยังคงถ่ายรูปอย่างต่อเนื่อง เฉพาะที่นี่ คุณพ่อได้ภาพแห่งความประทับใจแรกของทริปญี่ปุ่นมาเกือบ 150 รูป แบบนี้ ไม่ยกตำแหน่ง “ดื้อจนได้ดี” ให้คุณแม่ได้ยังไง ใช่หรือเปล่าครับ คุณพ่อ
IMAGERY: Noboribetsu Onsen familygallery and Noboribetsu Onsen resortgallery
Leave a Reply