เวลาล่วงเลยมาจะครบปี คุณแม่คิดว่าไม่ได้การแล้ว คุณแม่ต้องรีบปั่นเรื่องราวความประทับใจจากทริปหลง (รัก) ญี่ปุ่นของครอบครัวเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้วให้เสร็จเสียที เหลืออีกเพียงสองเมืองเท่านั้น
หลังจากที่หมดแรง (หรือเรียกอีกอย่างว่า หมดสภาพ) กันไปเรียบร้อยในวันที่เก้าของการเดินทา
งที่ Kyoto พี่รักกับน้องโรมกลับฉายพลังความสดใสให้เห็นอีกครั้งในเช้าวันที่สิบ ซึ่งถึงแม้จะเป็นวันของคุณแม่ แต่ความหวังที่จะได้ขี่จักรยานเที่ยวที่ Arashiyama ทำให้ทั้งคู่พร้อมลุยอีกครั้ง
เรานั่งรถไฟไปลงที่สถานี Arashiyama แล้วเดินต่อไปอีกนิดหน่อยเพื่อหาร้านเช่ารถจักรยาน น้องโรมต้องผิดหวังทั้งที่ตั้งใจฝึกขี่จักรยานสองล้อจนได้ในเวลาอันรวดเร็วก่อนออกเดินทางมาเที่ยวญี่ปุ่นครั้งนี้ แต่เจ้าของร้านแนะนำให้น้องโรมนั่งซ้อนท้ายคุณพ่อดีกว่า ตอนแรกน้องโรมก็งอแงไม่ยอม ต้องใช้เวลาโน้มน้าวกันพักใหญ่ สุดท้ายยอมซ้อนท้ายคุณพ่อแต่โดยดี แถมมีพูดเยาะเย้ยคุณพ่อ คุณแม่ และพี่รักระหว่างทางอีกด้วย ว่าน้องโรมสบายที่สุดไม่ต้องเข็นจักรยานขึ้นเนิน (ไม่ต่ำกว่า 4 เนิน) เจ้าของร้านส่งเส้นทางแนะนำสำหรับการขี่จักรยานว่าควรไปที่ไหนบ้างและควรเริ่มจากจุดไหน แต่ระดับคนทำคัมภีร์ 70 กว่าหน้าอย่างคุณแม่ มีหรือจะไปตามที่เค้าแนะนำ คุณแม่มุ่งมั่น (พูดง่าย ๆ ว่า ดื้อ) ไปตามคัมภีร์ของตัวเองเหมือนเดิม
เริ่มจากการชมวิวบนสะพาน Togetsukyo ต่อด้วยวัด Tenryuji ซึ่งเป็นวัดนิกายเซน และป่าไผ่ที่สายตาคุณแม่สะดุดกึกอยู่ที่ร้านขายผ้าเช็ดหน้าตรงข้ามทางเข้า เลยบอกให้คุณพ่อคุณลูกเข้าไปรอในป่าไผ่แป๊บนึง รีบหยิบผ้าเช็ดหน้ามือเป็นระวิง จ่ายเงินเสร็จ แวะซื้อของกินเล่นบังหน้าเล็กน้อย แล้วรีบปั่นอย่างว่องไวตามเข้าป่าไผ่ไป รีบขนาดนั้นแล้วยังเจอคุณพ่อหน้าบูดยืนรออยู่กลางป่าไผ่ท่ามกลางนักท่องเที่ยวเยอะแยะมากมาย คุณแม่รีบบอกว่ามัวแต่รอไก่ทอดของน้องโรมอยู่ กลัวลูกหิว (ดูรูปเป็นหลักฐานได้ น้องโรมซ้อนจักรยานไปกินไปอย่างเอร็ดอร่อย)
จากนั้นไปต่อที่วัด Jojakkoji ซึ่งกว่าจะไปถึง คุณแม่ต้องเทียบภาษาญี่ปุ่นจากคัมภีร์ที่เตรียมมากับป้ายบอกทางไปวัดที่ไม่มีภาษาอังกฤษเลย เทียบทีละป้าย ทีละป้าย ในที่สุดก็นำสมาชิกไปถึงวัดจนได้ ที่วัดนี้คุณแม่กับน้องโรมโพสท่าถ่ายรูปกันอย่างเพลิดเพลิน ส่วนพี่รักทำหน้าเหมือนลิงมากทุกรูป น้องโรมเริ่มไม่สบอารมณ์ตอนที่ต้องเดินตามคุณแม่กับพี่รักขึ้นบันไดสูงหลายขั้นขึ้นไปด้านบน (คุณแม่อุ้มไม่ไหวแล้วครับ) วัดต่อมาคือวัด Gioji มีสวนมอสสีเขียวและต้นไม่ร่มรื่น ไปแต่ละวัดต้องปั่นจักรยานขึ้นเนินทั้งนั้น ลิ้นห้อยกันไปตาม ๆ กัน แต่ก็ยังยิ้มได้กันทุกคน
เราแวะกินมื้อกลางวันกันที่ร้านเล็ก ๆ บนถนน Saga-Toriimoto Preserved Street ร้านนี้คุณพ่อเลือกเพราะมีสวนญี่ปุ่นสีเขียวสดชื่นและเงียบสงบ คุณแม่เข้าไปนั่งคนแรก พอขอดูเมนู เจ้าของร้านทำมือบอกว่าไม่มีเมนู เพราะขายอยู่อย่างเดียว แล้วเชิญคุณแม่ออกไปดูรูปหน้าร้าน พร้อมถามด้วยภาษามือว่าเอากี่ชุด คุณพ่อบอกว่าสามชุด พอเค้าเอาอาหารมาเสิร์ฟ คุณพ่อคุณแม่มองหน้ากันทำตาปริบ ๆ ไม่แน่ใจว่าพี่รักกับน้องโรมจะกินเป็นหรือเปล่า มื้อนี้เป็นอาหารเจล้วน ๆ มีแต่เต้าหู้ขาว ข้าวกล้อง และอะไรไม่แน่ใจ น่าจะทำจากแป้ง แต่กลับกลายเป็นว่าอร่อยไม่น่าเชื่อ แถมบรรยากาศดีมากอีกต่างหาก นอกจากจะอิ่มท้องแล้วยังอิ่มใจอีกด้วย
พอเติมพลังกันเสร็จแล้ว คุณแม่พาไปต่อที่วัดสุดท้าย วัด Otagi Nenbutsuji พอคุณพ่อกับพี่รักเห็นเนินพิฆาต (ชันกว่าเนินที่ผ่าน ๆ มามาก) ก็จอดรถจักรยานทันที พี่รักบอกว่าพี่รักไม่ไปเด็ดขาด คุณพ่อก็บอกไม่ไหวเหมือนกัน คนที่อยากไปมากที่สุดคือน้องโรม เพราะน้องโรมเป็นคนเดียวที่ไม่ต้องออกแรง สรุปคือคุณแม่จูงจักรยานคุณพ่อที่มีน้องโรมนั่งซ้อนท้ายอยู่ขึ้นเนินไปวัดกันสองคน คุณพ่อกับพี่รักขอนั่งรออยู่ด้านล่าง ที่วัดนี้ นอกจากคุณแม่กับน้องโรมแล้ว มีนักท่องเที่ยวอีกเพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นสาวญี่ปุ่นใจดีอาสาถ่ายรูปคู่ให้คุณแม่และน้องโรมด้วย ตอนขากลับลงมา น้องโรมสนุกสุด ๆ เพราะคุณแม่ปล่อยจักรยานไหลลงเนินด้วยความรวดเร็ว จนน้องโรมขออีกรอบ แต่คุณแม่บอกรอบเดียวพอ จะเข็นจักรยานขึ้นเนินอีกคุณแม่ก็หมดแรงแล้วเหมือนกัน
เสร็จจากวัดนี้ เราต้องเอาจักรยานไปคืนที่ร้าน แล้วนั่งรถไฟสาย Saga Scenic Railway คุณพ่อบอกคุณแม่ว่าอย่ากลับทางเดิมนะ คุณแม่ก็เห็นด้วย เลยพาขี่วนไปวนมาหลงไปเรื่อย ๆ จนถึงร้านเช่าจักรยานจนได้ แต่ตั๋วรถไฟแบบมีที่นั่งเต็มหมดแล้ว เหลือแต่ตั๋วยืน แถมต้องแยกคู่กันยืนคนละตู้อีกด้วย คุณพ่อไปกับพี่รัก คุณแม่ไปกับน้องโรม โชคดีที่มีที่นั่งว่างเพราะคนที่มีตั๋วนั่งมาไม่ครบ เจ้าหน้าที่เลยเรียกสองแม่ลูกไปนั่งสบายใจเฉิบ ขณะที่คุณพ่อกับพี่รักต้องยืนตลอดทางอยู่อีกตู้นึง ระหว่างทางน้องโรมมองออกไปนอกหน้าต่างรถไฟเห็นนักท่องเที่ยวล่องเรือย้อนกลับมาตามแม่น้ำ Hozugawa น้องโรมบอกคุณแม่ว่าอยากนั่งเรือแบบนั้นบ้าง พร้อมคิดหาทางออกเสร็จสรรพว่า ถ้าคุณพ่อกับพี่รักไม่อยากนั่งก็ให้นั่งรถไฟกลับ แล้วคุณแม่กับน้องโรมนั่งเรือกลับกันสองคน ไปเจอคุณพ่อกับพี่รักที่สถานีเดิมก็ได้
เป็นอย่างที่น้องโรมคิด คุณพ่อกับพี่รักไม่ยอมนั่งเรือกลับ โชคดีที่เราซื้อตั๋วล่องเรือรอบสุดท้ายไม่ทัน สี่คนพ่อแม่ลูกเลยไม่ต้องแยกกันกลับ คุณพ่อคุณแม่ปลอบใจน้องโรมโดยการพานั่งรถม้า และให้น้องโรมได้ขี่ม้าเล่นเพลิน ๆ ลืมเรื่องล่องเรือไปได้ สรุปว่าขากลับเราเดินไปสถานี Umahori นั่งรถไฟสาย JR Sagano กลับมาที่สถานี Kyoto เลย
คุณแม่กลับมาดูภาพถ่ายและอ่านบันทึกที่เขียนไว้เกี่ยวกับ Arashiyama ก็รู้ตัวว่าได้หลงรักที่นี่ไปแล้ว ตอนนี้ได้แต่คิดถึง อยากกลับไปขี่จักรยานและเดินเล่นที่นี่อีกหลาย ๆ ครั้งนะคะคุณพ่อ
IMAGERY: Arashiyama familygallery and Arashiyama resortgallery
Leave a Reply