หลายปีมาแล้วที่คุณแม่เปรยกับคุณพ่อว่า ถ้าลูกโตขึ้นหน่อย เราควรเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางของครอบครัวให้สมบุกสมบันขึ้นกว่าเดิม เพราะมีลูกชายตั้งสองคน
ก่อนแต่งงาน คุณพ่อเป็นนักเดินทางขาลุย ขึ้นเขาขึ้นดอยกางเต็นท์นอนกลางป่าทุกปี (ไม่น่าเชื่อเนอะ) แต่มาหยุดขึ้นเขาหลังจากแต่งงาน (ไม่เกี่ยวกับคุณแม่นะ คุณแม่ไม่เคยห้าม คุณพ่อไม่ไปเอง เพื่อน ๆ คุณพ่อโปรดทราบ) คุณแม่เลยคิดอยากให้คุณพ่อมีช่วงเวลาดี ๆ แบบนั้นกับลูกชายบ้าง (ตอนลูกยังเล็ก เราเริ่มจากการพาลูกเดินเส้นทางศึกษาธรรมชาติสั้น ๆ ก่อน)
ในที่สุด เมื่อสี่ปีที่แล้ว บ้านเราได้นอนกางเต็นท์ครั้งแรกที่ดอยเสมอดาว และนอนบ้านพักอุทยานครั้งแรกที่ดอยภูคา จังหวัดน่าน (บ้านพักสวยมาก สะอาดด้วย) ช่วงนั้นอากาศเย็นพอดี เป็นทริปที่ลูก ๆ ตื่นตาตื่นใจมาก ได้นอนดูดาวใกล้ ๆ ละลานตาไปหมด (เคล้าเสียงเพลงและกลิ่นปิ้งย่างจากเต็นท์อื่น) นอนหลับฝันดีกันเลยทีเดียว จากนั้นโครงการนอนกางเต็นท์ก็เป็นอันพับไปเพราะโรงเรียนของลูกไม่หยุดหนึ่งสัปดาห์ก่อนปีใหม่อีกเลย คุณพ่อยื่นคำขาดว่าจะนอนเต็นท์ต่อเมื่อเป็นหน้าหนาวและอากาศเย็นเท่านั้น (คุณแม่เศร้า น้ำตาหยดติ๋ง)
ปิดเทอมปีนี้ ฤกษ์งามยามดี ได้ครอบครัวเพื่อนสนิทมาร่วมทริป หลังจากพาเด็ก ๆ ไปสนุกสนานกันสองวันหนึ่งคืนที่สวนน้ำวานา นาวา หัวหิน แล้ว เราพาเด็ก ๆ ไปลุยกันต่อที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ได้นอนที่บ้านพักอุทยาน ล่องแม่น้ำเพชรตอนบ่ายแก่ ๆ และขึ้นพะเนินทุ่งตอนเช้ามืด ขาลงแวะชมผีเสื้อที่บ้านกร่างอีกด้วย
แค่ตอนวางแผนพาเด็กลุยนี่คุณแม่ก็สนุกล่วงหน้าไปแล้ว (ยิ่งเห็นหน้าคุณพ่อกับลูกชายคนโตตอนบอกกำหนดการต่าง ๆ ให้ฟัง ยิ่งสนุกใหญ่) ส่วนลูกชายคนเล็กกับลูกสาวขาลุยของเพื่อนก็ตื่นเต้นไม่เป็นอันหลับนอน นับวันรอว่าเมื่อไหร่เราจะได้ลุยจริงกันเสียที
ขั้นตอนการจองบ้านพักอุทยานก็ง่ายสุด ๆ เข้าไปจองที่หน้าเว็บของอุทยานได้เลย (จองล่วงหน้าได้ 60 วัน) แล้วไปจ่ายเงินที่เซเว่น (มีอะไรที่เซเว่นทำไม่ได้มั่งเนี่ย) แถมค่าที่พักก็ถูกมาก (1,200 บาทสำหรับ 4 คน 2,400 บาทสำหรับ 8 คน) บ้านหลังใหญ่เว่อร์วังอลังการมาก ทุกอย่างง่ายไปหมด
แต่ที่ยากคือคุณพ่อยื้อไม่ยอมไปจ่ายเงิน บอกคุณแม่ช่วยเช็คให้ชัวร์ว่าบ้านพักติดแอร์หรือเปล่า ลองเช็คที่พักอื่นหรือยัง เพราะคุณพ่อนั่งอ่านรีวิว บางคนเขียนไว้ว่าบ้านพักอุทยานติดแอร์ก็จริงแต่เปิดแอร์ไม่ได้ คุณพ่อเครียดถึงกับโทรไปเช็คกับเจ้าหน้าที่ว่าติดแอร์จริงไหม เจ้าหน้าที่ตอบว่าติดแอร์ค่ะ คุณพ่อไม่วายถามต่อ “แล้วแอร์ใช้ได้ไหมครับ” (หูย ช่างกล้า) เจ้าหน้าที่ตอบกลับ “ก็ต้องใช้ได้สิคุณ” (ฮาสุด ณ จุดนี้) แต่คุณพ่อก็ยังไม่เชื่อเต็มร้อย แอบกังวลจนวันเข้าพัก ได้เห็นกับตาว่าใช้ได้จริง ๆ นั่นแหละ
จากหัวหินไปอุทยาน ลูกสาวเพื่อนขอย้ายมานั่งรถคุณลุงเพื่อจะได้เล่นกับพี่ ๆ ไม่สนใจพ่อแม่ตัวเองเลยทีเดียว คุณลุงก็สรรหาเกมมาให้เด็ก ๆ สนุกสนานไม่เบื่อไปตลอดทาง ได้แวะโครงการชั่งหัวมันแป๊บนึงให้หลานสาวได้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก
ใช้เวลาเดินทางรวมชั่วโมงกว่า ๆ ก็ถึงที่พัก เอากระเป๋าเข้าไปเก็บ ตะลึงกับความกว้างใหญ่ของที่พักยังไม่เสร็จดี รถที่จองไว้ให้พาไปล่องแก่งก็มารับถึงหน้าบ้าน (ล่องแม่น้ำเพชร จองกับอุทยานราคา 1,200 บาท เหมาแพนั่งได้ 10 คน รวมรถรับส่ง) ลูกชายคนโตจองนั่งหน้าทันที (คุณพ่อเนียน ๆ ขึ้นไปนั่งเป็นเพื่อนลูก) ลูกชายคนเล็กกับลูกสาวเพื่อนไม่รอช้ารีบกระโดดขึ้นหลังกระบะทันใด
ไปถึงจุดลงแพยาง ใส่เสื้อชูชีพเรียบร้อย บอกน้องที่เป็นคนพายว่าเอาแบบธรรมดา ไม่ตกแพ ลูกชายคนโตทำหน้าหวาดหวั่นเล็กน้อย ระหว่างล่องแพก็ได้ความรู้เกี่ยวกับที่พักแต่ละแห่งและวิธีบริหารจัดการรีสอร์ทที่อยู่ตามแม่น้ำเพชรไปด้วย เด็กที่นี่เริ่มฝึกพายเป็นเด็กคัดท้ายตั้งแต่อายุ 10 ขวบ หารายได้ไปเรียนหนังสือ น่าชื่นชม
ล่องแพเกือบชั่วโมง อากาศเย็นสบายเพราะไปตอนสี่โมงเย็น ระหว่างทางมีการแซงกัน ตะกุยน้ำใส่กันระหว่างแพบ้างเล็กน้อย ลูกชายคนเล็กกับลูกสาวเพื่อนขอลองพายบ้าง คุณแม่หันไปถามลูกชายคนโตว่าอยากลองพายบ้างมั้ย ลูกบอกว่าแล้วแต่คุณแม่ (อยากแหละ แต่ปากแข็ง) คุณแม่เปลี่ยนที่ ยกพายให้ลูก ทีนี้พายไม่วางมือเลย แต่โดนน้องที่คัดท้ายดุ เพราะลูกดันพายทวนน้ำ คุณแม่เลยต้องเปลี่ยนที่กลับ
พอใกล้ปลายทาง นักท่องเที่ยวบนแพอื่นเริ่มกระโดดลงน้ำ ลอยคอกันสนุกสนาน ลูกชายคนเล็กกับลูกสาวเพื่อนนั่งไม่ติด อยากลงเล่นน้ำบ้าง ลูกชายหันรีหันขวางถามคุณพ่อว่าลงได้มั้ย คุณพ่อลงด้วยกันหรือเปล่า คุณพ่ออึ้งไปนิดแล้วตอบว่าถ้าลูกลงพ่อก็ลง ลูกก็เกรงใจคุณพ่อ รู้ว่าคุณพ่อไม่ได้เตรียมใจมา อ้ำอึ้งกันอยู่นานพอควร จนคุณแม่บอกว่าน้ำตรงนี้เริ่มขุ่นแล้ว อย่าลงเลยครับลูก ไม่ได้เตรียมตัวมา ไม่งั้นให้ใส่ชุดว่ายน้ำมาเลย เป็นอันว่าลูกอดลงน้ำ (คุณพ่อแอบอมยิ้ม โล่งอกไปที)
เย็นนั้นเรากินข้าวเย็นที่ร้านริมเขื่อน โชคดี ไปถึงก่อนนักศึกษามากันเป็นสิบ ๆ โต๊ะ คุณแม่รีบสั่งอาหารก่อนกลุ่มใหญ่มาถึง รสชาติใช้ได้ ไข่เจียวมาช้าสุด (เพราะเค้าลืม) บรรยากาศก่อนและหลังพระอาทิตย์ตกงดงาม ทุกคนกินไปชมวิวไป ส่วนคุณพ่อยืนถ่ายรูปอยู่นาน กลับถึงที่พัก อาบน้ำนอน เด็ก ๆ ตกลงจะนอนที่ห้องใหญ่ด้วยกัน (มี 4 เตียง) คราวนี้ลูกชายเราทิ้งคุณพ่อคุณแม่ไปนอนกับสาว ชัดเลย แต่มีคุณพ่อของบ้านนั้นนอนคุมอยู่เตียงนึงนะ วันรุ่งขึ้นต้องตื่นกันแต่เช้า นัดรถมารับขึ้นพะเนินทุ่งตอนตีห้าครึ่ง
เช้ามืดวันรุ่งขึ้น รถกระบะมารับตรงเวลา (เหมารถขึ้นพะเนินทุ่ง 1,600 บาท) เหมือนเดิม ลูกชายคนโตรีบเปิดประตูไปนั่งหน้ารถ ที่เหลือปีนขึ้นท้ายกระบะ นั่งไปได้ไม่นาน อากาศเย็นจนทนไม่ไหว ครอบครัวเราไม่ได้เตรียมเสื้อกันลมกันหนาวมาเลย บ้านเพื่อนเตรียมมาครบ สุดท้ายคุณแม่ทั้งสองต้องพาเด็ก ๆ มานั่งหน้ารถ กลัวจะไม่สบายกัน เล่นเอาลูกสาวเพื่อนหน้าบึ้ง งอนจนถึงพะเนินทุ่งเลย (ไม่ได้ดั่งใจ เด็กขาลุยก็งี้)
ทางขึ้นพะเนินทุ่งบางส่วนค่อนข้างแคบและชัน ต้องขับผ่านลำธารบ้างสองสามครั้ง ก่อนถึงจุดชมวิว ลูกชายคนโตบ่นว่าไม่ไหวแล้ว อยากอาเจียน คุณแม่บอกอดทนไว้ลูก พอรถจอด ลูกตรงดิ่งไปที่ห้องน้ำ คุณพ่อรีบตามไป ออกมารายงานว่าลูกอาเจียนออกเต็มเลย น่าสงสารมาก คุณแม่บอกให้เดินไปจุดชมวิวกันจะได้สดชื่น
ที่จุดชมวิว เห็นทะเลหมอกจาง ๆ ไม่หนาเหมือนที่เขาค้อ แต่ก็พอมีให้คุณพ่อชื่นใจบ้าง (คุณพ่อเป็นแฟนพันธุ์แท้ทะเลหมอก) พอสายหน่อย สักแปดโมง ผู้คนเริ่มบางตา เดินลงเนินมากินมื้อเช้า มีขนมปัง กาแฟ โอวัลติน ไข่ลวก ข้าวราดแกง และข้าวต้ม (อร่อยมาก คุณพ่อต้องซ้ำสองชาม) ในราคามิตรภาพ ลูกชายคนโตเริ่มดีขึ้นหลังจากได้ข้าวต้มไปหนึ่งชาม เตรียมตัวรอเวลาขาลงตอน 9 โมง
ขาลง คุณแม่ชวนลูกชายคนโตมานั่งรับลม (กินฝุ่น) หลังกระบะกัน แดดออกแล้วไม่หนาวเหมือนเมื่อเช้า คุณพ่อพาแบ่งทีมเล่นหลบกิ่งไม้ตามทางกัน เด็ก ๆ สนุกสนานเฮฮา (คุณแม่มารู้ทีหลังว่าลูก ๆ ประทับใจการนั่งเล่นเกมหลบกิ่งไม้หลังกระบะมาก ตอนอ่านบันทึกที่ให้ลูกเขียนหลังจบทริปนี่เอง) คนขับรถพาแวะดูผีเสื้อที่บ้านกร่าง (ทางผ่าน) เราไปกันช่วงปลายเดือนมีนาคม เพิ่งเริ่มมีผีเสื้อ แต่จะมีมากเดือนเมษายนและพฤษภาคม ใคร ๆ เค้าสนใจผีเสื้อกัน เด็กชายสองคนไม่สนผีเสื้อ เดินลุยน้ำเล่นสนุกกว่า
กลับถึงบ้านพัก อาบน้ำ แต่งตัว เก็บกระเป๋า ได้เวลามื้อกลางวันพอดี ก่อนแยกย้าย เรากินมื้อกลางวันกันที่ร้านอาหารหน้าที่ทำการอุทยาน รสชาติโอเคเลย ราคาย่อมเยา กินเสร็จ โบกมือบ๋ายบายกัน ครอบครัวเพื่อนกลับกรุงเทพฯ ครอบครัวเราไปต่อที่กุยบุรี ลูกสาวเพื่อนอยากตามมาด้วย แต่ทริปบ้านเรายังเหลืออีก 6 คืนก่อนกลับบ้าน เป็นอันต้องแยกย้ายกันจริง ๆ เพราะบ้านโน้นติดงานหฤโหด (แงแง)
จบทริปนี้ เห็นทีว่าต้องพาลูกชายคนโตออกผจญภัยให้บ่อยขึ้น ก่อนอื่นต้องทำให้คุณพ่อมาเป็นพวกคุณแม่ก่อน ด้วยการเชียร์ให้คุณพ่อออกกำลังกายเป็นประจำ (ซึ่งทำต่อเนื่องมาได้ 6 เดือนแล้ว เก่งจัง) คุณแม่มุ่งมั่นพาครอบครัวนอนกางเต็นท์ เที่ยวอุทยานแห่งชาติด้วยกันทุกปี และครอบครัวเราต้องขึ้นภูกระดึงด้วยกันให้ได้ก่อนที่คุณพ่อจะไม่ไหว
ตอนวัยรุ่น คุณแม่ได้ขึ้นภูกระดึงกับคุณตา คุณยาย และน้าชายของลูกด้วย ตอนนั้นคุณตาคุณยายอายุ 40 กว่า ๆ ยังไหวเลย
คุณพ่อสู้ ๆ นะ
One Response
Angelika Franzen
Active as always. Super!
Cheers from Germany,
Angelika