ย้อนกลับไปเดือนที่แล้ว เมื่อคุณแม่บอกคุณพ่อว่า คุณแม่ส่งหนังสือไปขออนุญาตเข้าใช้สถานที่และที่พักในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งแล้วนะ คุณพ่อทำหน้างงว่าจุดหมายปลางทางนี้มาอยู่ในแผนการเดินทางของเราตั้งแต่เมื่อไหร่
สัปดาห์ต่อมา คุณแม่บอกคุณพ่อว่าสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่าส่งหนังสือตอบกลับมาทางไปรษณีย์ (EMS) อนุญาตให้คุณแม่และคณะ (อีก 3 คน) เข้าพักได้ตามช่วงเวลาที่ขอไป พร้อมเอกสารแนบ 4 หน้า เป็นกฎกระทรวงและประกาศกรมป่าไม้ให้ผู้ได้รับอนุญาตปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด 9 ข้อ คุณพ่อถาม สรุปเราจะไปนอนที่นั่นเหรอ
สองสามวันถัดมา คุณแม่ส่งรูปที่พักให้คุณพ่อดูพร้อมรายละเอียดว่าบ้านพักที่ห้วยขาแข้งใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ไม่มีปลั๊กไฟ คุณพ่อถามกลับมาคำเดียวว่า เค้ามีพัดลมมั้ย (ทั้งที่ในใจอยากถามว่ามีแอร์หรือเปล่า)
ระหว่างนั้น คุณแม่โทรศัพท์คุยกับเจ้าหน้าที่ที่ห้วยขาแข้งสองสามครั้ง สรุปใจความได้ว่า ที่นี่ไม่ใช่อุทยานแห่งชาติ ไม่มีผ้าเช็ดตัวให้ ไม่มีร้านอาหาร ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ และไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ได้รับหนังสืออนุญาตก็แปลว่ามาเข้าพักได้เลย
ในที่สุด เราก็มาถึงห้วยขาแข้งจนได้ (แม้จะผ่านการกุมขมับของสมาชิกในบ้านสองคนอยู่เรื่อย ๆ คุณแม่ก็ไม่ท้อถอย) เจ้าหน้าที่ยืนรออยู่ที่ป้อมทางเข้า ขี่มอเตอร์ไซค์นำเราไปถึงบ้านพักซึ่งเขียนไว้ว่าเป็น “บ้านพักนักวิจัย” คุณศักดิ์แนะนำการเข้าใช้บ้านพักสั้น ๆ ได้ใจความว่า เปิดประตูเข้าไปเลย ไม่มีกุญแจ อย่าเผลอล็อกประตู อย่าลืมปิดประตูและอย่าเอาของวางไว้ข้างนอก เดี๋ยวลิงมาเอาไป พูดจบ คุณพ่อถาม “ลิงเปิดประตูเป็นไหมครับ” คุณศักดิ์ตอบ “ไม่เป็นครับ” คุณพ่อยิ้ม เรามีเวลา 10 นาทีก่อนคุณศักดิ์จะพาไปชมอนุสาวรีย์และบ้านพัก สืบ นาคะเสถียร ต่อด้วยการไปส่องสัตว์ที่หอส่องสัตว์
เมื่อคุณศักดิ์เดินจากไป คำถามแรกของลูกชายคนโตคือ “นี่บ้านพักหรือห้องน้ำ” เพราะรูปทรงภายนอกคล้ายห้องน้ำตามจุดพักรถทางหลวงและตามวงแหวนเป็นอย่างมาก
คุณแม่เดินสำรวจในห้อง มีเตียงเดี่ยว 3 เตียง ฟูกวางบนพื้นอีก 1 หลัง ตัวฟูกทุกหลังมีพลาสติกหุ้มแล้วปูทับด้วยผ้าปูที่นอนบาง ๆ สีน้ำตาล พร้อมผ้าห่มสีเดียวกันที่คุณแม่มั่นใจมาก ๆ ว่าไม่ได้ซักมานานแล้ว ประตูหลังห้องปิดได้ไม่สนิท พัดลมติดผนัง 1 เครื่อง ส่ายไม่ได้ ห้องน้ำมีเครื่องทำน้ำอุ่นแต่ใช้ไม่ได้ กระจกหนึ่งบานเต็มไปด้วยคราบน้ำแห้งกรัง มีฝักบัว ถังน้ำอาบ และถังน้ำเล็กข้างโถส้วม น้ำในถังสีดำสนิท คุณแม่เงียบไว้ก่อน
คุณศักดิ์ขับรถมารอหน้าบ้านแล้ว
เราขับรถตามไปจอดใกล้สะพานแขวน แล้วเดินผ่านสะพานแขวนข้ามลำห้วยทับเสลาเพื่อไปชมอนุสรณ์สถาน สืบ นาคะเสถียร ซึ่งต้องเดินผ่านอาคารอนุสรณ์สถานที่มีรูปแบบเรียบง่ายถูกปิดล้อมด้วยเนินดินเพื่อให้กลมกลืนกับธรรมชาติ มีทางเดินเข้าแคบ ๆ เหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบที่หัวหน้าสืบ (ตามที่คุณศักดิ์เรียก) นำทางไว้ให้งานอนุรักษ์ง่ายขึ้นกว่าเดิม ทางเข้าอีกทางหนึ่งมีคานเหล็กอยู่ด้านบนเพื่อให้คนเดินเข้าต้องน้อมตัวลงเป็นสัญลักษณ์ให้นอบน้อมต่อสถานที่ ตัวอาคารเหมือนยังสร้างไม่เสร็จเพื่อให้เราระลึกไว้เสมอว่าการทำงานอนุรักษ์เป็นงานที่ไม่มีวันเสร็จสิ้น
เดินออกจากบริเวณอาคารออกมาเจอรูปปั้นขนาดเท่าครึ่งของ สืบ นาคะเสถียร ที่ยืนหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ยังคงเฝ้ามองผืนป่าที่ยังคงเหลืออยู่เป็นมรดกโลก จากอนุสาวรีย์มีทางเดินตรงไปยังตัวบ้านพัก ทางเดินเป็นขั้นบันได 8 ขั้น หมายถึงระยะเวลา 8 เดือนที่หัวหน้าสืบทำงานในตำแหน่งหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง (คุณศักดิ์อธิบายละเอียดจริง ๆ)
ตัวบ้านพักอยู่ในสภาพเดิมทั้งห้องทำงานและห้องนอน หัวหน้าสืบยิงตัวตายบนเตียงนอน ตอนเช้ามืดของวันที่ 1 กันยายน 2533
นอกจากคุณแม่แล้ว คนที่สนใจฟังคุณศักดิ์มากเป็นพิเศษคือลูกชายคนเล็กที่อยู่ชั้นปอสี่ ลูกบอกว่าคุณครูเพิ่งสอนเรื่องเกี่ยวกับ สืบ นาคะเสถียร แต่ลูกจำนามสกุลผิดมาตลอด ร้องเป็นเพลงติดปากว่า สืบ ตัณฑเสถียร อยู่บ่อย ๆ คุณแม่ยังงงว่าเอามาปนกันได้ยังไง
ตอนเดินกลับมาขึ้นรถ คุณพ่อขอพาลูกเดินใต้สะพานแขวน ลุยน้ำเล่นในลำห้วย คุณศักดิ์บอกว่าปีนี้น้ำแล้งมาก ที่อื่นฝนตกน้ำท่วม แต่ที่นี่ฝนไม่ตกเลย น้ำในลำห้วยเคยสูงถึงหนึ่งเมตรในช่วงเดือนตุลาคม แต่ปีนี้ไม่มีวี่แวว
จากนั้นคุณศักดิ์พาเราขับรถไปที่หอส่องสัตว์ จอดรถแล้ว กำชับเด็ก ๆ ว่า ต่อจากนี้ห้ามคุยกัน ลูกเดินตามอย่างว่าง่าย ไม่คุยกันตามที่เจ้าหน้าที่บอก แต่เดินไปยังไม่ถึง 100 เมตรดี คุณศักดิ์หันมาเพิ่มกฎอีกข้อ “เดินเบา ๆ หน่อย” คุณแม่อายเลย ใช่ ลูกเดินลากเท้าเสียงดังมาก
ที่หอส่องสัตว์มีสามชั้น เราขึ้นไปชั้นที่สอง มีคนนั่งอยู่แล้วสองคน ใส่ชุดลายทหารพร้อมกล้องขนาดใหญ่มาก ๆ นั่งนิ่งเงียบ เหมือนจะนั่งรออยู่อย่างนั้นมานานมากแล้ว คุณศักดิ์ชี้ให้ลูกคนเล็กดูกวางสองตัว ลูกมองไม่เห็น คุณแม่ก็ไม่เห็นเหมือนกัน ต้องไปแอบดูที่กล้องของมืออาชีพทั้งสอง ถึงกะพิกัดได้ว่า อ้อ ใต้ต้นไม้ไกล ๆ นั่นเอง สักพัก หนึ่งในสองมืออาชีพกระซิบเบา ๆ มีนกยูงเดินอยู่ริมน้ำ คุณแม่จ้องที่ริมน้ำ ไม่เห็นอะไรเลย ลูกเลียนแบบคุณแม่ ไปจ้องที่กล้องเค้า แล้วเดินไปบอกพิกัดให้คุณพ่อถ่ายรูป สุดท้ายได้เห็นนกปีกน้ำเงินอีกหนึ่งตัว บินร่อนลงมาใกล้มาก ไม่มีใครจับภาพทัน ทุกคนใช้ตา สมอง และความทรงจำจับภาพแทน
อยู่บนหอส่องสัตว์ได้ไม่นาน ลูกชายคนโตมายืนป้วนเปี้ยนแถวบันได คุณศักดิ์บอกให้ลูกขึ้นไปได้เลยเพราะคิดว่าลูกอยากขึ้นไปชั้นสาม แต่เข้าใจผิดถนัด ลูกเบื่ออยากกลับบ้านพักแล้วต่างหาก คุณศักดิ์หันมาอีกที ลูกชายคนโตกับคุณพ่อลงบันไดไปชั้นล่างแล้ว เลยหันมาทำหน้าเหวอ ๆ กับคุณแม่หนึ่งที คุณแม่บอก ลูกอยากกลับแล้วค่ะ คนอื่นเค้ารอดูวัวแดงกัน ครอบครัวเรากลับมานอนเอาแรงที่บ้านพักเพราะวันรุ่งขึ้นนัดคุณศักดิ์ไว้เจ็ดโมงเช้า เราจะเข้าป่ากัน
ลานหน้าบ้านพัก มีเนื้อทรายตัวสีเข้มกับละมั่งตัวสีทองยืนรวมกลุ่มกันรอให้คุณพ่อถ่ายรูป แลดูเป็นมิตรมาก คุณพ่อส่องจากในรถได้มาหลายรูปเหมือนกัน
กลับถึงบ้านพัก คุณพ่อเป็นหน่วยกล้าตาย ทดลองอาบน้ำเป็นคนแรกด้วยฝักบัว ลองทดสอบเอาขันมารองแล้ว ได้สีเดียวกันกับที่อยู่ในถัง ตะกอนสีดำเพียบ ตามด้วยลูกชายสองคน ลูกคนเล็กบอกเค้าน่าจะมีฝาปิดถังไว้นะ จะได้ไม่ต้องเห็นว่าน้ำสีดำ เพราะออกจากฝักบัวแกล้งทำไม่รู้ว่าดำก็ได้ ดีว่าซื้อน้ำขวดใหญ่เข้ามาด้วย เอามาใช้แปรงฟันกัน ค่อยสบายใจหน่อย คุณแม่อาบน้ำอย่างเดียว ไม่กล้าสระผม พอคุณแม่อาบเสร็จ คุณพ่อกลับเข้าไปอาบน้ำอีกครั้ง พัดลมตัวเดียวที่มีเอาไม่อยู่ คุณพ่อขี้ร้อนมาก สรุปเย็นวันแรก คุณพ่ออาบน้ำไป 4 ครั้ง
เมื่อถึงเวลานอน ลูกถกเถียงกันอยู่นานว่าใครจะนอนเตียงไหน ไม่มีใครยอมนอนฟูก คุณพ่อลากเตียงสามเตียงมาชิดกัน คุณพ่ออยากนอนใกล้พัดลม คนเล็กนอนริมไม่ได้เพราะดิ้นมากและกลัวผี แถมมีข้อกำหนดเพิ่มเติมว่าจะไม่นอนใกล้พี่ชายด้วย ส่วนคนโตอยากนอนใกล้น้องและไม่ยอมนอนริมทั้งที่ปกติชอบนอนริม (แต่นี่ไม่ปกติจริง ๆ แหละ ประตูหน้าห้องและหลังห้องล็อกไม่ได้เลย) คุณแม่ไม่เรื่องมาก นอนตรงไหนก็ได้ แต่ลูกยังเลือกที่นอนกันไม่ลงตัวเสียที คุณพ่อจัดการดับไฟ มืดสนิท ทุกคนเข้าที่อย่างรวดเร็ว รู้อย่างนี้ ดับไฟเสียตั้งแต่แรกก็ดี
แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครหลับสนิทเลย คุณแม่ตื่นกลางดึกอย่างน้อย 4 ครั้ง เวลานอนต้องเอามือมารองหน้าไว้ ไม่กล้าเอาแก้มถูกปลอกหมอน ตอนแรกไม่กล้าห่มผ้าห่ม (ที่จริงเตรียมผ้าห่มที่บ้านมาด้วย แต่สามหนุ่มบอกไม่ต้องเอาลงจากรถ ใช้ของที่นี่ได้ คุณแม่เลยตาม ๆ ไป) ดึก ๆ หน่อย หนาว คุณแม่คว้ามาห่มเฉยเลย ลูกชายคนเล็กนอนพลิกตัวไปมาตลอด ได้ยินเสียงก๊อบแก๊บทั้งคืน เพราะฟูกยังมีพลาสติกหุ้ม คุณพ่อพลิกตัวทีนึง ได้ยินเสียงขาเตียงเหล็กดังเอี๊ยดอ๊าดทุกครั้ง ลูกชายคนโตคอยถามอยู่เรื่อย ๆ ว่ากี่โมงแล้วคุณแม่ ตอนตีหนึ่งลูกถามคุณพ่อว่าทำไมพัดลมดับ ไฟจากพลังงานแสงอาทิตย์ไม่พอเหรอคุณพ่อ คุณพ่อบอก อ๋อ คุณพ่อปิดเอง กลัวคุณแม่หนาว ซึ่งคุณแม่ก็หนาวจริง ๆ แต่ทุกคนร้อนหมด คุณแม่บอกให้เปิดเถอะ เดี๋ยวคุณแม่ห่มผ้าห่มเอง
ตื่นกันครั้งสุดท้ายคือตอนตีสี่ หลับต่อไม่ได้แล้ว เตียงที่ลูกชายคนเล็กนอนกับคุณพ่อ ผ้าปูที่นอนหลุดจากฟูกมากองอยู่เป็นกระจุก สรุปลูกนอนบนฟูกที่มีพลาสติกหุ้ม ผ้าปูที่นอนไม่ต้องใช้ ทุกคนกองกันอยู่แค่สองเตียง
คุณพ่อลุกไปอาบน้ำคนแรก ที่เหลือเปลี่ยนชุดรอ น้ำไม่อาบ ฟันไม่แปรง เตรียมตัวเดินป่าอย่างใจจดใจจ่อ จะได้รีบออกจากบ้านพักโดยเร็ว ลูกชายคนโตกล่าว
ยัง นี่ยังไม่ถึงตอนเดินป่า
โปรดติดตามตอนต่อไป
Imagery: Huai Kha Khaeng familygallery and Huai Kha Khaeng resortgallery
Leave a Reply