» » » » จากปางอุ๋งสู่ทงยอง

จากปางอุ๋งสู่ทงยอง

“Wanders in Korea Day 1 (Oct-Nov’19)”

ปิดเทอมเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ลูกชายคนโตไม่อยู่บ้านสามสัปดาห์ คุณพ่อไม่อยู่บ้านหนึ่งสัปดาห์  คุณแม่พยายามจัดสรรเวลาพาลูกชายคนเล็กไปเรียนรู้โลกกว้างได้สัปดาห์ละหนึ่งวัน คุณยายมาอยู่เป็นเพื่อนลูกอีกสัปดาห์ละหนึ่งวัน วันที่เหลือคุณแม่แปลงานอยู่ในห้องทำงาน ลูกดูทีวีสลับกับเลือกอ่านหนังสือของโรอัลด์ ดาลห์กว่า 10 เล่มที่คุณแม่สั่งจากสำนักพิมพ์ผีเสื้อ และได้คุยกับคุณแม่แค่ช่วงมื้ออาหารสามมื้อเท่านั้น

ตามตารางเรียนเดิม พอลูกคนโตกลับจากเข้าค่ายภาษาอังกฤษ ก็จะเปิดเทอมทันที ไม่มีเวลาพักเลย โชคดีที่โรงเรียนเลื่อนเปิดเทอมไปหนึ่งสัปดาห์ ได้มีเวลาของครอบครัวกันบ้าง คุณพ่อลางานได้แบบหวุดหวิดไม่กี่วันก่อนลูกคนโตกลับถึงบ้าน คุณแม่เริ่มออกไอเดีย เราไปกางเต็นท์นอนที่ปางอุ๋งกันดีกว่า ไปเที่ยวปายหลายครั้งแล้วแต่ยังไม่เคยไปปางอุ๋งเลย ลูกอยากกินข้าวปุกที่ถนนคนเดินด้วย หรือพาลูกไปเดินป่าที่กิ่วแม่ปาน ดอยอินทนนท์ดี (นี่คุณแม่คิดเผื่อคุณพ่อแล้วนะ เพราะคุณพ่อชอบอากาศเย็น ๆ)

คุณพ่อนิ่งไปสักพัก หันมาถามว่า ขอเที่ยวแบบไม่เหนื่อยได้ไหม ทำงานเหนื่อยมากแล้ว อยากพัก

ถึงคราวคุณแม่นิ่งบ้าง

วันรุ่งขึ้น คุณพ่อเริ่มทยอยส่งลิงก์ราคาตั๋วเครื่องบินโปรโมชั่นไปประเทศที่อากาศเย็นและไม่ต้องขอวีซ่ามาให้คุณแม่ดู สรุปว่าได้จองตั๋วไปเกาหลีก่อนออกเดินทางไม่ถึงสัปดาห์ จองที่พัก 2-3 วันก่อนออกเดินทาง เป็นทริปต่างประเทศของครอบครัวที่ No Plan อย่างแท้จริง มีแค่ตั๋วเครื่องบินกับที่พัก นอกนั้นไปคิดระหว่างทาง

แต่ยังดีที่มีจุดหมายปลายทางหลักในใจหนึ่งแห่งคือ Tonyeong Skyline Luge ลูกเคยเล่น Luge แบบนี้ที่สิงคโปร์แล้ว แต่อากาศร้อนมาก คุณแม่เปิดดูเว็บไซต์แล้ว นอกจากที่สิงคโปร์ ยังมีที่เกาหลี นิวซีแลนด์ และแคนาดา

ไปเกาหลีเพื่อเล่น Luge ดูสมเหตุสมผลที่สุดในสถานการณ์นี้

แต่ก็ไม่ง่ายเสียทีเดียว เพราะทงยองเป็นเมืองเล็ก ๆ ชายทะเลทางใต้ของเกาหลีใต้ ห่างจากปูซานหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ห่างจากโซลสี่ชั่วโมง แต่ค่าตั๋วเครื่องบินไปปูซานแพงกว่าไปโซลมาก ณ วันที่จอง สรุปเลยต้องจองไปกลับกรุงเทพฯ-โซล

ลูกชายคนโตบินกลับจากลอนดอนถึงกรุงเทพฯ เที่ยงวันเสาร์ คุณพ่อ คุณแม่ ลูกชายคนเล็ก ไปรับที่สนามบิน แล้วรีบพากันกลับบ้าน เพื่อซักอบผ้า เตรียมแพ็กกระเป๋าออกเดินทางวันรุ่งขึ้นเพื่อไปโซล

กว่าจะถึงโซลก็ค่ำมืดดึกดื่น นอนที่โซลหนึ่งคืน ตื่นกันกี่โมงก็ได้ตามสบายไม่กำหนดเวลา สาย ๆ วันจันทร์ ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม (จะกลับมาพักที่เดิมอีก 4 คืน) พากันแบกเป้ใครเป้มันไปสถานีรถบัสเพื่อซื้อตั๋วนั่งรถไปทงยอง รถจอดแวะที่จุดพักกลางทาง 20 นาที เป็นการนั่งรถบัสที่สบายมาก ที่นั่งใหญ่ เพราะเป็นรถบัสแบบพรีเมี่ยม

กว่าจะถึงทงยองก็เกือบสี่โมงเย็น เอาของไปเก็บที่พัก แล้วพากันออกมาเดินเล่น ตั้งใจไป Dongpirang Mural Painting Village แต่คุณพ่อบอกไม่มีแสงแล้ว ถ่ายรูปมาก็จะไม่เห็นอะไรเลย สรุปเดินเล่นกินไอติมแถวท่าเรือกันเพลิน ๆ อากาศเย็นสบาย (วันที่เหลือ เราไปไหนกันบ้าง ให้ตามไปอ่านในอัลบั้ม Day 2 ถึง 6 ที่คุณแม่จิ๊กบันทึกของลูกมาใช้เป็นคำบรรยายก็แล้วกัน)

ความตั้งใจหลัก ๆ ของคุณแม่สำหรับทริปนี้คือ

ได้เอาใจลูกชายคนเล็ก เห็นรอยยิ้ม ได้ยินเสียงหัวเราะของลูกคนเล็กซึ่งเป็นดัชนีความสุขของทุกคนในบ้าน หลังจากที่ปล่อยให้ลูกหงอยเหงามาสามสัปดาห์เต็ม

ได้พักผ่อน หยุดแปลงานแบบจริงจังหนึ่งสัปดาห์  ไม่หิ้วโน้ตบุ๊กไป (ตัดใจเด็ดขาด) ฝากงานไว้กับเพื่อน และส่งอีเมลลางานกับลูกค้า (ให้ลูกค้าเตรียมตัวเตรียมใจ)

ได้เขียนบันทึกด้วยลายมือระหว่างทริป เวลานั่งรถ นั่งเครื่อง ก่อนนอน ได้อยู่กับคุณพ่อและลูก ๆ อย่างแท้จริง

ได้พาทุกคนเดินออกกำลังกายเช้ายันเย็นทุกวัน ในที่ที่อากาศเย็นตามที่ทุกคนต้องการ

สรุปว่าได้ทุกอย่างที่กล่าวมาข้างต้น สิ่งที่เพิ่มเติมมาคือ

ได้เห็นว่าคุณพ่อกับลูกคนเล็กคิดถึงลูกคนโตมากมายแค่ไหน โดยเฉพาะคุณพ่อติดลูกคนโตแจเลย (รู้ตัวไหมไม่รู้ คุณแม่ไม่ได้ทัก ให้มาอ่านเจอในนี้เอง)

ได้เห็นว่าลูกชายคนโตมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น กล้าพูดกับคนแปลกหน้า ต่างภาษา เป็นผู้เอาตัวรอดในต่างแดนที่เก่งที่สุดในบ้าน เป็นผู้นำทางไปทุกที่ เป็นผู้คำนวณค่าใช้จ่ายและเวลาการเดินทาง ครั้งไหนควรนั่งรถไฟฟ้า ครั้งไหนควรนั่งรถแท็กซี่ เป็นผู้ (หลอก) พาทุกคนไปแหล่งชอปปิ้งติ่งเกาหลี ตรอกขายของเล่น และอื่น ๆ อีกมากมาย

ได้เห็นลูกชายคนเล็กมีความสุขกับการกินแซลมอน ซื้อเบย์เบลด นั่งรถไฟเหาะ กินไก่ (ที่อร่อยกว่า) บอนชอน และงอนเป็นระยะ ๆ ตามสมควร และได้รู้ว่าลูกเป็นเด็กชอบอ่านเหมือนกัน ตามอ่านบันทึกที่คุณแม่เขียนทุกวัน แถมมีการเอาไปโชว์ให้คุณพ่ออ่านอีกด้วย เพราะคุณแม่เขียนนินทาทุกคนไว้ในสมุดบันทึกนั่นแหละ

สรุปว่าทริปเดินเล่นแบบไม่มีการวางแผนไว้ล่วงหน้าครั้งนี้เป็นทริปที่ลงตัว สบาย ๆ เรื่อยเปื่อยไปวัน ๆ อย่างแท้จริง ได้ใช้เวลาด้วยกัน เดินขาลากด้วยกัน ขี่จักรยานขึ้นเนินด้วยกัน นอนแผ่ด้วยกัน กินของประหลาดด้วยกัน เล่นเครื่องเล่นน่ากลัวด้วยกัน มีความสุขด้วยกัน รักกัน รักกัน

A journey, either short or long (planned or unplanned), is one of the warmest ways to forge the special bond between parents and children.

Imagery: Tongyeong familygallery and Imagery: Tongyeong resortgallery

Facebook Comments

Leave a Reply