เมื่อเห็นตารางเดินทาง 2 หน้าครึ่งของคุณพ่อกับพี่รักสำหรับทริป 6 วัน 6 คืนครั้งนี้ (เกียวโต โตเกียว) ทำให้คุณแม่นึกถึงตารางเดินทาง 77 หน้าสำหรับทริป 12 วัน 12 คืน (ฮอกไกโด โตเกียว เกียวโต ทตโตริ) ตารางเดินทาง 20 หน้าสำหรับทริป 7 วัน 7 คืน (เกียวโต นาโกย่า มัตสึโมโตะ โตเกียว) และตารางเดินทาง 10 หน้าสำหรับทริป 5 วัน 5 คืน (ฮอกไกโด) ที่คุณแม่ทำคนเดียวตอนที่ครอบครัวเรามาญี่ปุ่นครั้งแรก ครั้งที่สอง และครั้งที่สาม
แอบนึกในใจ เรามาทำอะไรที่เดิมเป็นครั้งที่สี่ แล้ว 2 หน้าครึ่งแบบหลวม ๆ ไม่ลงรายละเอียดนี่ จะต้องมี Hidden Agenda แน่นอน
พอถึงวันเดินทาง คุณแม่จึงได้รู้ว่าคุณพ่อกับพี่รักหาข้อมูลได้รอบคอบและครอบคลุมเป็นอย่างมาก เริ่มจากการขอ Vaccine eCertificate จากหมอพร้อม การลงทะเบียนและกรอกข้อมูลขาเข้าพร้อมรายละเอียดโรงแรมและการฉีดวัคซีนในแอป MySOS ของประเทศญี่ปุ่นเพื่อให้ผ่าน ตม. ในช่อง Fast Track ได้ (เห็นคนที่ไม่ได้ลงทะเบียนไป ต้องเสียเวลากรอกข้อมูลหน้างานนานพอสมควรเลยทีเดียว) และกรอกข้อมูลใบผ่าน ตม. และสิ่งของต้องสำแดงใน Visit Japan Web จะได้ไม่ต้องต่อคิวนาน
ทั้งหมดนี้คุณพ่อลงทะเบียนและกรอกข้อมูลให้ตัวเองและคุณแม่ พี่รักทำให้น้องโรม (ทางโทรศัพท์ของใครของมัน) ส่วนคุณแม่และน้องโรมแปลงานกับซ้อมกีตาร์ทำหน้ายุ่ง ๆ งง ๆ เหมือนเดิม
เราออกเดินทางกันคืนวันศุกร์ ถึงนาริตะเช้าวันเสาร์ คุณพ่อพาไป JR Office เพื่อไปพิมพ์ตั๋วรถไฟ JR PASS แต่ละเส้นทาง (จองทางออนไลน์มาก่อนหน้าแล้วทั้งตั๋วและที่นั่งบนรถไฟ) นั่ง N’EX (Narita Express) มาลงสถานี Shinagawa (เลี่ยงสถานีโตเกียวที่คนน่าจะเยอะกว่ามาก) แล้วต่อ Shinkansen ไปเกียวโต เวลาเป๊ะมาก ๆ แบบห้ามอ้อยอิ่งใด ๆ (เหลือบดูตารางเดินทาง มีข้อมูลครบทั้ง Gate หมายเลข Track และ Car รวมถึงเลขที่นั่งบนรถไฟ เยี่ยมมากค่ะคุณพ่อ)
มื้อกลางวันมื้อแรกเป็น Tokaido Line Bento Box บนรถไฟนั่นเอง สามคนแม่ลูกไม่กินอะไรบนเครื่องบินเลย ขึ้นเครื่องปั๊บหลับปุ๊บ เช้ามาก็ไม่กิน ส่วนคุณพ่อจองอาหาร Non-Lactose ไว้ ได้อาหารก่อนใคร เปิดหน้ากากกินจนเสร็จ ผู้โดยสารรอบข้างยังไม่มีใครได้อาหารเลยสักคน (ทั้งหมดนี้คุณพ่อกับพี่รักก็วางแผนไว้ล่วงหน้าแล้วเช่นกัน)
พอถึงเกียวโต พี่รักนำทางพาทุกคนลากกระเป๋าจากสถานีเกียวโตไปโรงแรม Mercure Kyoto Station (แต่ไม่ได้อยู่ที่สถานี) เดิมคุณพ่อจะจองโรงแรม Ibis Styles Kyoto Station เพราะเคยพักตอนมาเกียวโตครั้งแรก จำได้ว่าอยู่ที่สถานีเลย สะดวกมาก แต่ห้องเล็กมาก และ ณ เวลาที่จอง ราคายังสูงกว่า Mercure (ซึ่งห้องใหญ่กว่า เตียงนอนสบายกว่า) เข้าไปอีก
ในตารางเดินทางไม่ได้บอกว่าเราจะไปไหนหลังจากเช็คอินเข้าโรงแรม พี่รักกับน้องโรมเสนอไอเดียขี่จักรยานเล่นเพราะอากาศเย็นสบาย แต่ผู้ชายสามคนเลือกจักรยานไฟฟ้ากัน หญิงแกร่งคนเดียวในบ้านเลือกจักรยานธรรมดา จะได้ถือโอกาสออกกำลังกายไปด้วย แต่จักรยานธรรมดาไม่มีขนาดเล็กที่พอดีตัวคุณแม่ เป็นอันต้องขี่จักรยานไฟฟ้าเหมือนพ่อลูก ถือเป็นโชคดีของคุณแม่มาก เพราะคุณพ่อพาไปขี่จักรยานเลียบแม่น้ำ Kamo (ตั้งใจเลี่ยงไม่พิมพ์ภาษาไทย) ซึ่งมีทางต้องขึ้นลงเนินจากถนนริมแม่น้ำ แล้วคุณพ่อพาขึ้นลงหลายรอบเลย บรรยากาศสดชื่นมาก คนญี่ปุ่นมานั่งพักผ่อนกันริมแม่น้ำ ทั้งแบบครอบครัว คนทำงาน คู่หนุ่มสาว เด็กนักเรียน มีคนขี่จักรยานสวนกันไปมาอยู่เรื่อย ๆ ไม่มากนัก
คุณพ่อเริ่มหิวแต่หาร้านเหมาะ ๆ ที่มีที่จอดจักรยานไม่ได้ พอหาได้ ที่จอดเต็ม ในระหว่างที่ยืนปรึกษากันว่าจะเอายังไงกันดี น้องโรมหมดแรง ทำจักรยานล้ม ตัวเองก็ล้มไปพร้อมจักรยาน ต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าพันฝ่ามือไว้เพราะแสบมือมาก ตอนล้มเอามือเท้าพื้นไว้ สุดท้ายเลยต้องขี่จักรยานกลับมาคืนที่ร้านเช่า แล้วเดินหาร้านกินข้าวแถว ๆ โรงแรมแทน
ก่อนนอนพี่รักจะพาน้องโรมมาที่ห้องคุณพ่อคุณแม่เพื่อปรึกษากันกับคุณพ่อว่าวันรุ่งขึ้นจะออกกี่โมง ไปไหนก่อน เดินทางยังไง นี่คือการวางแผนหลวม ๆ มาในตอนแรกเพื่อดูอากาศวันต่อวันแล้วสลับสถานที่ให้เหมาะกับอากาศในแต่ละวัน สรุปว่าเช้าวันอาทิตย์ เราจะไป Biwago Valley กัน (นั่งรถไฟไปต่อรถบัส) ตอนบ่ายกลับมาเดินชมวัดที่เกียวโต
แม้ว่าเราจะเช็คอากาศวันต่อวัน แล้วตัดสินใจนั่ง Ropeway ขึ้นเขาในวันที่มีแดดแล้วก็ตาม แต่อากาศเปลี่ยนชั่วโมงต่อชั่วโมง พอขึ้นเขาไปเมฆครึ้ม มองไม่เห็นวิวใด ๆ แถมอากาศเย็นมากแบบเสื้อแขนยาวที่ใส่ไปอุ่นไม่พอ น้องโรมอยากเล่น Zipline มาก แต่ก็ตัดสินใจไม่เล่นเพราะต้องใช้เวลานานถึง 2 ชั่วโมง สรุปว่าเรานั่งกระเช้า (Tourist Line Lift) ขึ้นไปสองชั้น เพื่อไปตีแบดกับลองเดินขาโถกเถก (ใครไม่รู้จัก ไล่ดูรูปเอาค่ะ) แล้วกินมื้อกลางวันก่อนกลับลงมาเดินชมวัดที่เกียวโต
วิว Panorama เห็นฟ้าสีฟ้ากับทะเลสาบบิวะสุดลูกหูลูกตาที่วาดหวังไว้ ในความเป็นจริงมีแต่คนเต็มไปหมด หาที่แทรกยืนถ่ายกับวิวได้ยากมาก แต่ก็ได้อากาศสดชื่นกับเมฆหมอกให้คุณพ่อนิดหน่อย ส่วนคุณแม่หนาวมาก ไอถี่ ๆ พอลงมาก็หายไอ กลับสู่สภาพปกติ ข้างล่างนี่อากาศยังไม่เย็นเท่าที่เพื่อน ๆ โพสต์อวดอุณหภูมิที่กรุงเทพฯ กันเลยจ้ะ
กลับมาถึงสถานีเกียวโต พี่รักพานั่งแทกซี่ไปวัดน้ำใส (Kiyomizu) วัดที่เราเคยไปมาแล้วตอนมาญี่ปุ่นครั้งแรก (ตอนนั้นพี่รักอายุ 10 ปี น้องโรมอายุ 8 ปี ทั้งสองคนนั่งลงกับพื้นบนเนินทางเดินขึ้นวัด บอกเดินไม่ไหว ไปไม่ถึงวัด ปล่อยให้คุณพ่อเข้าไปถ่ายรูปมุมมหาชนในวัดคนเดียว คุณแม่นั่งเฝ้าลูกกินไอติมที่ร้านข้างทาง) แล้วครั้งนี้เรามาทำอะไรกันนะ
ครั้งนี้ เราสี่คนเข้าวัดไปด้วยกัน คุณพ่อเริ่มบ่นเมื่อย ขอนั่งรอบ้าง ปล่อยให้แม่ลูกเดินไปถ่ายรูปที่มุมมหาชนคนล้นหลามกันเอง พี่รักโชว์รูปตัวอย่างว่าจะเอามุมนี้ ขอเห็นเสาสีเขียวด้วยนะ คุณแม่ถึงบางอ้อ พี่รักจะมาตามรอย “ทัศนศึกษามรณะ” ของโคนันนั่นเอง
เสร็จจากวัดน้ำใส พี่รักพาเดินเข้าซอกซอยหลบผู้คนมาอีกทาง แบบเดินอ้อม ๆ นั่นแหละ ไม่มีคนอื่นเดินทางนี้เลย พี่รักภูมิใจมากที่พาพ่อแม่กับน้องมาทางลับแต่ไม่ลัดได้ จนมาถึงวัดโฮคันจิ (Hokanji) ก่อนถึงวัด น้องโรมลงไปนั่งบนถนนแล้วหนึ่งครั้ง (คุณแม่เห็นภาพเดิมซ้ำอีก ตอนไปกำแพงหิมะก็แบบนี้ ตอนนั้นมีน้าโออุ้ม ตอนนี้มีแต่พี่รักยืนรอเมื่อไหร่น้องจะลุกยืน) คุณพ่อพานั่งพักร้านกาแฟหน้าวัด ถ่ายรูปหน้าวัด แล้วเดินต่อ
วัดถัดไปเป็นวัดคงโกจิ (Kongoji) เลื่อนไปดูภาพเลยว่าคุณพ่อคุณแม่ทุ่มเทเพื่อพี่รักมากแค่ไหน แม้แต่น้องโรมยังไม่กล้าทำท่าตามรอยโคนันให้พี่รักเลย ขอเป็นตากล้องแทน ไล่พ่อไปนั่งปิดหู (พี่รักปิดตา คุณแม่ปิดปาก) ให้คนญี่ปุ่นที่ต่อคิวอยู่เต็มวัดได้งงกันว่าครอบครัวนี้เค้าทำอะไรกันเหรอ
พี่รักพานั่งแทกซี่ไปวัดสุดท้าย คือวัดซันจูซันเก็นโด (Sanjusangendo) ที่จริงมีอีกหนึ่งวัดกับหนึ่งสะพานตามตารางเดินทาง แต่พี่รักเห็นสภาพน้องโรมแล้วยอมตัดออก เพราะที่จริงเราเคยไปกันมาแล้วทั้งสองที่เลยด้วย คุณพ่อจ่ายค่าเข้าวัดเสร็จ ต้องถอดรองเท้าเพื่อเข้าไปในอาคารไม้ ที่ด้านหน้ามีป้ายบอกห้ามถ่ายรูป เอ๊า มาถ่ายรูปตามรอยโคนันแต่ที่วัดห้ามถ่ายลูกครับลูก เดินชมใช้เลนส์ตากับความจำสมองแทนก็แล้วกันนะ
เสร็จจากวัดสุดท้าย น้องโรมบอกก้าวขาไม่ออกแล้ว เรียกแทกซี่กลับโรงแรม ขึ้นไปนั่งบนรถคุยกับคนขับอยู่ 5 นาที พูดชื่อโรงแรม โชว์ Google Map พยายามทุกอย่างแล้ว คนขับแทกซี่โบกมือไล่ลงจากรถ ประมาณว่าไม่รู้ว่าที่ไหน ไปไม่เป็น ไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ สรุปน้องโรมยอมเดินกลับโรงแรมระยะทาง 1.8 กม. หลังจากเดินมาแล้วทั้งวัน รวม 15,000 ก้าว พี่รักกับคุณพ่อสลับกันช่วยสะพายเป้ของน้องโรมเพราะน้องไม่ไหวแล้ว มารู้ทีหลังว่าน้องโรมขนไอแพดติดกระเป๋ามาด้วย ไม่รู้เอามาทำไมเพราะไม่เห็นได้ใช้เลย วันรุ่งขึ้นเลยเอาไอแพดออกมาใส่กระเป๋าเดินทางแทน
เช้าวันจันทร์ต้องเช็คเอาต์ออกจากโรงแรมเพื่อเดินมาขึ้น Shinkansen จากสถานีเกียวโตกลับมาโตเกียว ฝนตกแต่เช้า ไม่มีแทกซี่ โรงแรมให้ร่มมาคนละคัน เอาพลาสติกมาคลุมกระเป๋าให้ สี่คนพ่อแม่ลูกถือร่มลากกระเป๋ามาที่สถานี (คุณพ่อใส่เสื้อกันฝนที่เตรียมมา เพราะไม่มีมือจะถือร่ม ต้องลากกระเป๋าสองใบ) ถึงสถานีก่อนรถไฟออก 10 นาที
วันนี้เราข้ามมื้อกลางวันกันไปเลย ค้นขนมในกระเป๋าออกมากิน เคลียร์น้ำหนักในเป้ลงท้องกันเรียบร้อย ถึงโตเกียวแบบชุ่มฉ่ำ ๆ ดูตารางเดินทาง น่าจะเดินเยอะกว่าที่เกียวโตอีก รอดูกันว่าน้องโรมจะไหวมั้ย
Leave a Reply